Wednesday, February 6, 2013

มูลเหตุแห่งความอ้วน

           เขาว่ากันว่า น้ำหนักที่เหมาะสมของผู้หญิงแต่ละคน คำนวณได้ง่ายๆโดยใช้ค่า Ideal Body Weight (IBW)

                       IBW = ส่วนสูงเป็น cm. - 100 - (10%(ส่วนสูงเป็น cm. - 100))


           ลองไปคิดกันคร่าวๆดูว่าน้ำหนักของคุณอยู่ในเกณท์แค่ไหน ยิ่งมากกว่าค่าที่ได้ก็ยิิ่งแสดงว่าอ้วนเกิน ส่วนค่าของเราทะลุทะลวงเป้าไปมากมาย ไม่นับค่า Body Mass Index (BMI) และมาตรวัดอื่นๆอีกหลายรูปแบบ ล้วนได้ค่าเกินเกณท์แบบถล่มทลายเข้าสู่โซนที่เรียกว่าอ้วน จนเพื่อนคนนึงน่ารักมากให้นิยามหุ่นของเราอย่างพยายามรักษาน้ำใจอย่างมากว่า "อวบสุด scale"

           คนเราอ้วนผอมยากง่ายต่างกันสุดแท้แต่บุญกรรมทั้งเก่าและใหม่ บางศาสตร์ก็ระบุว่าคนเราถูกกำหนดมาแล้วว่าจะเป็นคนอ้วนหรือผอมตั้งแต่ระดับ Gene เราเองก็ไม่ได้เกิดมาอ้วน ที่จริงเป็นคนกระดูกเล็กและมือเท้าเล็กด้วยซ้ำ จึงไม่เหมาะกับการแบกน้ำหนักมาก แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ไปงานเลี้ยงรวมญาติแบบเรา แล้วพบปะพี่ป้าน้าอาที่พอถึงวัยหนึ่งก็กลายเป็นหุ่นทรงลูกแพร์เหมืิอนกันหมดทุกคนไม่มีแตกแถวรวมถึงแม่เราด้วย ก็จะพอคาดเดาได้ว่าสักวันหนึ่งข้างหน้าเราก็คงจะหลีกหนีหุ่นแบบนี้ไปไม่ได้

          เมื่อตอนเราอยู่มัธยม เราเป็นนักกีฬาตั้งแต่เด็ก การเล็งเป้าหมายแล้วพุ่งไปให้ถึงเป็นเรื่องที่เราเคยชินและถนัด สมัยที่เราอยู่มัธยมต้นราวๆม.3 เราหนักได้ 45 kg. ยังผอมโกรกเล่นกีฬาตัดผมสั้นดูเหมือนทอมบอย พออยู่ม.ปลายต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ Entrance เข้ามหาวิทยาลัย ทำให้ยิ่งช่วงสุดท้ายก่อนเรียนจบไม่สามารถเล่นกีฬาหักโหมได้มากเหมือนเก่า น้ำหนักก็ขึ้นเอาๆจนจบอยู่ที่ 60 kg. แต่เราก็มีเป้าหมายอยู่ในใจว่า ถ้าหากเอ็นฯติดแม่จะลดน้ำหนักแปลงโฉมเอาให้สวยเลย พอวันออกจากห้องสอบวิชาสุดท้าย ยังกระหยิ่มยิ้มย่องว่าเอ็นฯติดแน่โว้ยแต่ไม่รู้จะได้อันดับไหนที่เลือกไว้ ก็มุ่งมั่นลดน้ำหนักเป็นครั้งแรกในชีวิต โดยวิ่งเช้าและเย็นหน้าลานจอดรถในบ้าน ทานแต่แกงจืดผักต้มน้ำซุปกระดูกหมูอยู่ได้วันละ 3-4 มื้อที่ลงมือทำเอง ทำซ้ำๆแบบ extreme อยู่อย่างนี้ราว 2 เดือน เอาล่ะสิกากใยอาหารน้อยก็เริ่มขับถ่ายน้อยลง เลยต้องซื้อยาถ่ายมารับประทานเองทุก 2-3 วันเพื่อให้หายอึดอัด น้ำหนักก็ค่อยๆลงอย่างรวดเร็ว เพียง 2 เดือนก็ลงไปถึง 15 kg. เหลือแค่ 45 กิโลกรัมเลย จนวันนึงต้องไปธุระใกล้ๆบ้าน ขากลับนั่งรถเมล์กลับบ้าน เกิดอาการเหงื่อแตกทั่วร่าง ใจสั่น มือสั่น หวิวๆคล้ายๆจะเป็นลม ยังเคราะห์ดีที่เป็นอยู่ตอนได้นั่งในรถและใกล้จะถึงบ้านแล้ว ลมพัดตีหน้านานๆก็ช่วยให้รู้สึกสบายขึ้น พอประคองตัวกลับไปนอนพักที่บ้านได้ นั่นเป็นครั้งแรกที่เรารู้ว่ากำลังลดน้ำหนักมากไปจนเกิน limit ที่ร่างกายจะรับไหวแล้ว ก็หันมากินอาหารให้เป็นปกติแบบค่อยๆเพิ่มขึ้น จนพอเปิดเทอมเข้ามหาวิทยาลัย เราก็หนัก 48 kg. ซึ่งเป็นน้ำหนักที่กำลังสวย และคงสภาพอยู่อย่างนั้นจนเรียนจบ โดยยังคงต้องพึ่งน้องยาระบายอย่างต่อเนื่องทุกๆ 3-4 วันเรื่อยมา

          ไม่นานนักเราก็ไปเรียนต่อที่อเมริกา ด้วยอาหาร fast food, all-you-can-eat buffet, Chinese food และอาหารไทยที่ทำเองได้หลากหลายตามแต่จะหาเครื่องปรุงได้ ทำให้น้ำหนักเราที่สวยงามอยู่ดีๆ ทะลึ่งพรวดเกือบ 2 ปีกลับมาอยู่ที่ 60 kg. เท่ากับตอนก่อนลดครั้งแรก เราก็พอทำใจได้ว่ามันคงเป็นน้ำหนักที่สมดุลย์ที่สุดของเรามั้งจึงตีกลับมาเป็นอย่างเดิม เมื่อกลับมาทำงานเวียนหลายที่จนมาทำเครื่องสำอาง ยิ่งใกล้วันแต่งงานเราก็ยิ่งลดน้ำหนักลงอย่างมุ่งมั่น ด้วยการทานแต่น้อยผสมกับงานอันหนักหนากว่าจะกลับบ้านก็แสนจะดึกดื่นช่วงหลังๆเลยตัดสินใจไม่กินข้าวเย็นซะเลย จนราวๆสัก 3 เดือนสุดท้ายก่อนแต่งงานก็ลดน้ำหนักลงได้กลับมาอยู่ที่ 48 kg. อีกครั้งอย่างสวยงาม ใส่ชุดเจ้าสาวผอมเพรียวดั่งใจหวัง และนั่นกลายเป็นน้ำหนักน้อยที่สุดครั้งสุดท้ายของช่วงชีวิต

          ตั้งแต่แต่งงานและไป Honeymoon เราตั้งใจว่าจะมีลูกเลย เนืื่องจากรักกับสามีมา 10 ปีนานมากๆและเราเองก็อายุย่างเข้าสู่เลย 30 ปีแล้ว ถ้าอยากจะมีลูกมากกว่า 1 คนก็ต้องรีบแล้วล่ะ จึงตั้งใจจะเลิกทานยาระบายอย่างเด็ดขาดเพื่อลดสารเคมีเข้าสู่ร่างกายและเตรียมพร้อมมีลูก ทำให้น้ำหนักทะยอยตีกลับมาเองก่อนที่จะรู้ตัวว่าท้องเรากลับมากนัก 55 kg. ภายหลังการแต่งงานเพียง 5 เดือน ในข่วงการตั้งท้องลูกคนแรก เราน้ำหนักขึ้นถึง 22 kg. และมีอาการบวมน้ำกับเบาหวานชั่วคราวร่วมด้วย โดยในช่วง 3 เดือนแรกน้ำหนักขึ้นถึงเดือนละ 2 kg. ทั้งๆที่หมอบอกว่าไม่มีใครเขาขึ้นกันสักกิโลช่วงต้นถูกดุตลอดแล้วเราก็ไม่ได้ทานอะไรมากแต่ไม่มีอาการแพ้เลย เมื่อคลอดลูกแล้วน้ำหนักยังอยู่กับเราอีก 5 kg.ไม่ยอมลด ทำให้เราคงสภาพกลับมาหนัก 60 kg. อีกครั้งนึง

          อีก 3 ปีต่อมา เราก็ตั้งท้องลูกคนเล็กน้ำหนักมาถล่มอีก 22 kg. on top of 60 kg.เดิม กลายเป็น 82 kg.ทำให้เหนื่อยง่ายมาก อาการบวมและเบาหวานชั่วคราวกลับมาอีก คราวนี้มีชาที่ปลายนิ้วมือในช่วงเดือนสุดท้ายด้วย เมื่อคลอดลูกแล้วเราก็ทำหมันเลย และพบว่าน้ำหนักมาเพิ่มอยู่อีก 5 kg.กลายเป็น 65 kg.แบบถาวรอยู่นาน ลดให้ตายก็ลดไม่ลง ทั้งๆที่พยายามทาน low carb สลัด เกาเหลา สารพัดต่างๆนาๆ และเริ่มหันมาดื่มนมถั่วเหลืองทุกวันแทนน้ำนมวัว แค่ไม่กี่วันน้ำหนักทะลึ่งพรวดจนกางเกงคับภายใน 1 อาทิตย์น้ำหนักขึ้นพรวดพราด 3 kg.เลยตกใจมาก พองดนมถั่วเหลืองก็ยุบลงเอง เลยเพิ่งรู้ตัวว่าจะทานนมถั่วเหลืองไม่ได้มากเหมือนเมื่อตอนเด็กๆไม่ได้แล้ว และเริ่ม senstitve กับอาหารบางประเภท

          ด้วยความโมโหที่ตัวเองลดน้ำหนักลงไม่ได้ เราหันไปใช้ตัวช่วยด้วยมีเพื่อนมาขาย Herbalife ลดราคาให้พิเศษ 25% เราลองเปลี่ยนจากกินอาหารปกติไปเป็นกินอาหารเหมือนคนป่วยดื่ม Protein Drink Shake กับกินวิตามินเสริมและ Fiber ให้ครบตามสูตร พยายามทำอย่างมี discipline และเป้าหมาย ปรากฎว่าในเวลาเพียง 1 เดือน น้ำหนักลดลงๆด้ถึง 10 kg. เหลือ 55 kg. จำได้ว่ามีความสุขมากและแต่งตัวสวยไปทำงานทุกวัน คิดว่านี่น่าจะเป็นน้ำหนักที่เราพอใจมากที่สุดและจะพยายามไม่ให้เกิน 60 kg. เป็นที่สุด

          เนื่องจากการที่เรามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นมากจากการตั้งครรภ์ถึง 22 kg. 2 ครั้ง ทำให้ผนังหน้าท้องของเราแตกลายงามาก และเมื่อน้ำหนักลดลงก็มีปัญหาพุงเหี่ยวส่วนเกินเกิดขึ้น ทำให้เราไม่ชอบรูปลักษณ์ตัวเองเวลาส่องกระจกแล้วเศร้าใจมาก จึงไปปรึกษาหมอศัลยกรรมตกแต่งเพื่อทำ Lipectomy โดยการดึงหนังหน้าท้องลงมาเย็บที่แนว Bikini Line เดิมบนแผลผ่าคลอด เจาะสะดือปลอมใหม่ เย็บกล้ามเนื้อหน้าท้องแบบ six packs ให้แข็งแรง และดูดไขมันบริเวณหน้าท้องและสะโพกออกไปด้วยเลย จำได้ว่าตอนนอนรอจะทำอยู่บนเตียงกลัวมาก แต่วันนั้นบังเอิญหมอดมยาคือเพื่อนเก่าที่โรงเรียน และเขาพูดปลอบใจเราไม่ให้กลัวจนหลับไปอย่างสบายด้วยฤทธิ์ยาสลบ พอฟื้นขึ้นมาย้ายไปอยู่ห้องพัก หมอมาบอกว่าต้องนอนงอตัวยืดตรงไม่ได้อยู่อย่างนี้ราว 1 เดือน เพราะหมอตัดหนังหน้าท้องออกไปยาวประมาณ 1 ฟุต ต้องรอให้หนังฝึกยืดตัวจนได้ที่แลัวมันจะยืดหยุ่นเองจนกลับมายืนตัวตรงได้ และหัวใจชั้นแข็งแรงมาก หมอได้ดูดไขมันออกไปได้มากถึง 6 ลิตร! แม่เจ้ามีไขมันจริงในขวด Pepsi 2 ลิตร 3 ขวดมาให้ดูเป็นหลักฐานด้วย หมอย้ำว่าห้ามไปเล่นโยคะโดยเด็ดขาดตลอดชีวิตและอย่าปล่อยตัวให้อ้วนมาก ไม่งั้นแผลผิวหนังและกล้ามเนื้อที่เย็บเอาไว้อาจปริได้

          ภายหลังการผ่าตัดแม้เอาไขมันออกไปมากแต่น้ำหนักหายไปเพียง 1.5 kg. เท่านั้น แต่เสื้อผ้าเล็กลงถึง 2 size อย่างรวดเร็ว Lipectomy เป็นการผ่าตัดใหญ่ที่ช่วง recovery เจ็บปวดและทรมานมากสุดๆแบบเจ็บแผลคลอดลูกเทียบไม่ได้เลยสักนิด ถ้าไม่มีปัญหาหนักหนาจริงๆขอย้ำว่าอย่าไปทำเลย แม้ว่าเราจะ happy มากๆกับผลของมันหลังจากทำแล้วก็ใส่ชุดว่ายน้ำ Bikini ตลอดอย่างมีความสุข ก็ยังคงไม่แนะนำใครเพราะมันเจ็บมากเกินจะทนทานจริงๆนะ

          หลังจากทำโน่นนี่นั่น ก็ผอมเพรียวจากไขมันรอบเอวหายไปอยู่หลายปี แล้วจู่ๆราว 5 ปีต่อมามันก็มาในรูปแบบใหม่ ไขมันกลับไปพอกที่หลัง ต้นแขน ต้นขา และข้างสะโพก เราไม่ค่อยมีพุงแต่ออกข้าง มีช่วงหนึ่งที่หิวน้ำตลอด และน้ำหนักพุ่งพรวดปีเดียวขึ้นมา 10 kg.เลย ไปตรวจร่างกายก็ไม่พบอะไรผิดปกติ และในอีก 2 ปีต่อมา น้ำหนักยังแอบขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละ 5kg. จนกลายเป็น 80 kg.อย่างรวดเร็ว จนต้องปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าในตู้ใหม่ทั้งหมด เคยไปพบทั้งหมอเบาหวานและหมอ Nutrition เพื่อลดน้ำหนัก การตรวจด้วยเครื่องพบว่าเรามีไขมันในร่างกายปริมาณมาก และที่ประหลาดกว่าคือมีน้ำคั่งอยู่ในตัวมากเกินไปถึงเกือบ 50% หมอให้ยาขับปัสสาวะมาทานและแนะนำให้เราทานอาหารแบบ No Carb 3 วันติดต่อกันให้ได้ แล้วร่างกายจะ flush minerals ส่วนเกินออกมาจนหมด และควรทำบ่อยๆทุกสัปดาห์ แรกๆก็ลดน้ำหนักลงได้เดือนละ 2 kg. แล้วจู่ๆหมอซึ่งอายุมากแล้วท่านกระดูกสันหลังหัก งดออกตรวจอยู่นานหลายเดือน เราเลยไม่ได้ไปหาอีกเลย ยังคงน้ำหนักลดลงไม่ได้ต่ำไปกว่าเดิมเท่าไหร่ ได้แต่ทำใจให้อยู่กับหุ่นสาว Plus size อย่างมีความสุขจนทุกวันนี้ และเราจะไม่กลับไปพึ่งอาหารเสริมใดๆที่เอาสารเคมีสำเร็จรูปเข้าสู่ร่างกายอีกโดยเด็ดขาด การลดน้ำหนักอย่างหักโหมหลายครั้ง รวมถึงการกินน้อยกินมากสลับไปสลับมา ทำให้เรากลายเป็น Yoyo Effect หลายรอบและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นที่มาของปัญหาสุขภาพที่เรากำลังตั้งใจจะแก้ไขแบบ Inside Out ด้วยการปรับอาหารการกินเสียใหม่ทั้งหมดแบบเดินสายกลาง

         ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่คนเราจะอ้วนได้โดยไม่กิน ด้วยความที่เราขลุกอยู่ในครัวช่วยแม่ทำกับข้าวสารพัดตั้งแต่ยังเล็กๆ ทำให้เราติดใจกลิ่นหอมของอาหารปรุงสุกใหม่ๆ กลิ่นของขนมอบหอมยวนใจ ล้วนสร้างความสุขต่อโสตประสาทของเราและจิตวิญญาญได้มากยิ่งกว่ากลิ่น Aroma Therapy ทั้งปวง ห้องครัวกลายเป็นห้องโปรดดุจห้องทดลองที่เราจะสามารถทดลองสูตรใหม่ๆที่จะปรุงอาหารออกมาปรนเปรอคนในครอบครัว เป็นห้องที่เราใช้เวลาอยู่ในนั้นนานมากอย่างมีความสุข ตู้เย็นอัดแน่นไปด้วยอาหารดีๆที่พร้อมจะถูกจัดปรุงขึ้นเตาได้ทุกเมื่อ จนสามีอ่อนใจว่าจะต้องมีของเหลือทิ้งใช้ไม่ทันเหี่ยวเก่าอย่างแน่นอนทุกรอบ ด้วยนิสัยตุนไว่ดีกว่าขาดของเราจนล้นตู้เย็นทุกรอบที่กลับมาจากการช้อปปิ้ง Supermarket รอบละเต็มคันรถ แม้ยามเหนื่อยเจียนตายโทรมกลับมาบ้านตอนดึกๆ พอเข้าครัวจะไปทำอะไรกินจะกลับมีพลังกระชุ่มกระชวยคึกคักทั้งหั่น ผัด ต้ม แกง ทอด ได้อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ประหนึ่งว่าการทำกับข้าวเป็น Cooking Therapy ที่เราโปรดปรานและช่วยบรรเทาความเครียดลงอย่างได้ผลชะงัดนัก เมื่อเรื่องกินเป็นเรื่ิองใหญ่ที่ให้ความสุข เราก็ดั้นด้นสรรหาของกินอร่อยๆทั้งในและนอกประเทศทุกครั้งที่มีโอกาส แม้ในยามอารมณ์ปรวนแปร ยิ่งเครียดยิ่งกิน ยิ่งอารมณ์เสียก็ยิ่งกิน ดีใจหรือเสียใจก็กินได้กินดี กินง่ายอยู่ง่ายกินได้ทุกอย่าง ทำให้เราอ้วนเอาๆอย่างต่อเนื่ิองทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว

         มีเพื่อนๆแนะนำว่าเราควรทำ Blog แนะนำการทำอาหารเมนูง่ายๆอร่อยๆ เราว่าจะทำมากกว่านั้นอีกสักหน่อย คือจะแนะนำเมนูอาหารเพื่อสุขภาพสมวัย ตามที่ได้อ่าน ฟัง ดูสารคดี และสอบถามผู้รู้หลายท่านที่แนะนำมา ไม่ว่าหนังสือเล่มไหนก็บอกตรงกันว่า ทุกคนควรรับประทานอาหารให้เหมาะกับวัยและสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอให้สมวัย และพักผ่อนให้เพียงพอและทำใจให้สบายไม่เครียด พูดง่ายแต่ทำยากมากๆ เราควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ว่ากันว่าการปรับเปลี่ยนนิสัยอย่างถาวรสามารถทำได้หากเราทำกิจวัตรที่ต้องการซ้ำๆกันอย่างน้อย 21 วันติดต่อกัน นิสัยจึงเป็นสิ่งที่ฝึกฝนและปรับเปลี่ยนได้ แค่ต้องอาศัยความมุ่งมั่นตั้งใจจริงและมีวินัยต่อตัวเอง

         คราวหน้าจะพูดถึงเป้าหมายสุขภาพที่เราวางไว้ รวมถึงน้ำหนักที่ตั้งใจว่าจะทำให้ได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยมีเมนูสุขภาพที่จะรับประทานตลอดช่วงเวลาที่วางแผนไว้แบบเดินสายกลาง เคร่งครัดบ้าง ผ่อนคลายให้รางวัลตัวเองบ้าง เป็นบางมื้อสลับกันไปพอให้ร่างกายไม่เครียด เล่ากันสดๆแบบ Reality Show มาดูกันว่าเราจะสามารถทำได้ตาม target ที่วางไว้หรือไม่



No comments:

Post a Comment