Thursday, February 7, 2013

สงคราม 25 ปี

          เมื่อนึกย้อนกลับไปในอดีต เราเริ่มทำสงครามกับความอ้วนที่ตามมาราวีแบบไม่ลดละ ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะนานถึง 25 ปีตั้งแต่เพิ่งเรียนจบมัธยมกันเลยหรือนี่???

          การไม่เคยอ้วนเป็นลาภอันประเสริฐ การที่เราถูกกำหนดมาโดยรหัสพันธุกรรมให้ตัวใหญ่อ้วนพีแบบตุ๊กตายางบีเบนดั้ม ที่เป็นสัญลักษณ์ประจำยี่ห้อยาง Michelin ในช่วงวัยเข้าสู่เลข 4 นำหน้าเจริญรอยตามเหล่าบรรพบุรุษหญิงของเรา มิได้เป็นอุปสรรคให้ยอมพ่ายแพ้ต่อโชดชะตา แต่กลับทำให้เราฮึดสู้แบบขี้เกียจๆ ตามประสาสาว office ที่เหนื่อยหมดแรงก่อนกลับบ้านทุกวัน ขี้เกียจแม้กระทั่งวันหยุดจะไปนอนให้หมอนวดขยำเนื้อตัวให้สบายตามสปา หรือตื่นเช้ามาวิ่งออกกำลังกายใน fitness ไปชอปปิ้งแก้เครียด หรือทำผมเผ้าให้ตัวเองดูดี ไม่มีเลย ขอนอนลูกเดียว

          เมื่อสอบถามลูกน้องเก่าที่ทำงาน ส่วนใหญ่ก็เข้าสู่วัยเลข 4 เลข 5 นำหน้ากันทั้งนั้นวัยไล่เลี่ยกัน ก็พบว่าวันหยุดของแต่ละคน ล้วนต้องการพักผ่อนอยู่นิ่งๆกันชนิดไม่ไหวติง นอนนานๆตื่นสายๆ บางคนนอนยาวไปตื่นเอาหลังเที่ยง นอนดูหนังซีรี่ส์อยู่กับบ้าน นอนอ่านหนังสือเงียบๆพวกเบาสมอง ที่เคยไปสมัคร fitness ก็ไปบ้างแต่ไม่ตื่นไปแต่เช้านะขอไปบ่ายแทน ถ้ากินกลางวันอิ่มขี้เกียจแล้วก็งดออกกำลังกลัวจะจุก เปลี่ยนใจเป็นนอนหลับช่วงบ่ายแทนอีก ถ้าดูละครตอนกลางคืนเลือกที่จะนอนดูสบายๆมากกว่านั่งดู

          จะเห็นได้ว่าการ"นอน" คือสิ่งเดียวกันที่ทุกคนโปรดปราน อยากทำทุกเวลาที่มีโอกาส เพื่อผ่อนคลายตัวเองจากความเครียดอันเหนื่อยล้ามาแล้วทั้งสัปดาห์ นอนหลับมากๆจะได้ฟื้นคืนกำลังวังชามาจัดการภารกิจต่างๆอย่างสดชื่นแจ่มใส เราจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนช่วงสามีสมัครให้ลูกเรียนดนตรี วันอาทิตย์ต้องพาไปส่งแต่เช้ารอรับกลับตามห้างกันครึ่งค่อนวันเพราะลูก 2 คนเรียนคนละเวลา มีช่วงนึงที่เราโหมงานหนักมากช่วงทำ budget เมื่อหลายปีก่อน เราแทบตื่นไปด้วยกันไม่ไหวแม้จะพักผ่อน "นอน" วันเสาร์ไปแล้วก็ตาม ร่างกายมันอ่อนล้ามากแบบยังไม่ยอมฟื้น หากถ่อสังขารแต่งตัวไปนั่งรอลูกก็จะหาที่ "นั่ง" ยาวกันจริงๆจังๆแบบไม่อยากลุกไปไหน อันแสดงถึงการหมดพลังงานแบบถ่านหมด ตามข้อตกลงกันสามีอยากให้เรียนเขาต้องรับผิดชอบไปรับส่งลูกเอง อยู่ไปๆเขาก็มีนัดไปตีกอล์ฟเรื่อย เราก็ต้องเป็นฝ่ายพาลูกไปเรียนแทน เหนื่อยบอกไม่ถูกตามด้วยบ่ายพาลูกไปเรียนกอล์ฟต่อ ซึ่งดีกับเด็กๆนะจะได้ทำกิจกรรมที่หลากหลาย แต่เราก็ค้นพบตัวเองเหมือนกันว่าการโหมงานหนักมากเกินไปโดยที่คิดว่ายังไหวอยู่เหมือนตอนสาวๆ มันทำได้แต่หมดแรงจะมาสนุกต่อกับกิจกรรมครอบครัววันหยุดที่ควรจะได้ทำอะไรด้วยกัน ตามมาด้วยการเกิดวงจรอุบาทว์คือ เช้าวันจันทร์แทบไม่อยากตื่นไปทำงานเลย

          ชั่วโมงที่ต้องการนอนของแต่ละคนล้วนแตกต่างกัน แต่ควรมีคุณภาพการนอนที่ดี คือหลับลึกถึงระดับ Rapid Eye Movement (ROM) อย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงต่อเนื่อง ซึ่งเป็นช่วงที่ร่างกายจะหลั่งสาร Growth Hormone ออกมาซ่อมสร้างร่างกาย ต่อสู้กับความเหนื่อยล้า และกระตุ้นการผลิตเซลล์ใหม่ให้แก่ชราช้าล งอีกทั้งยังเพิ่มภูมิคุ้มกันต้านทานเชื้อโรคให้ร่างกายแข็งแรง เราโชคดีที่ไม่มีปัญหาเรื่องนอนหลับเลย หัวถึงหมอนเป็นหลับยันสว่าง ถึงแม้บางคนจะนอนหลับน้อยชั่วโมงรวมแต่ถ้าชั่วโมงหลับลึกนานเพียงพอ ก็จะตื่นมาสดชื่นกระปรี้กระเปร่าพร้อมทำกิจกรรมต่างๆด้วยร่างกายที่ตื่นตัวเต็มที่ เราเคยมีช่วงที่รู้สึกว่านอนเท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ ทั้งๆที่หลับสนิทดีไม่เคยมีปัญหานอนไม่หลับ กินชากาแฟไวน์น้ำอัดลมก็นอนหลับปุ๋ยสบาย ออกแนวหลับอุตุจำศีลได้ทั้งวี่ทั้งวันกันเลยเชียว การนอนจึงเป็นกิจกรรมที่่เราชื่นชอบเป็นอันดับ 2 รองจากเรื่องสรรหาของกิน แต่ 2-3 ปีหลังมานี้ จู่ๆเราก็ sensitive กับ caffeine ดื่มกาแฟธรรมดาแค่วันละแก้วก็จะตาค้างไปจนถึงหลังเที่ยงคืนเลยกว่าหลับลงได้ ชาก็เหมือนกัน กาแฟจึงเพิ่งจะมีบทบาทในการ boost พลังโดยบังคับให้ร่างกายเรา alert ตื่นตัวสู้งานในระหว่างวันจนหากขาดการดื่มสักแก้วยามบ่ายที่คุ้นเคยเมื่อไหร่เป็นได้ง่วงหาวอ่อนเพลียทันใด แม้จะทำให้ตาค้างจนดึกดื่นก็ยอม

          ที่จริงถ้าเราใส่ใจฟังความต้องการของร่างกายสักนิด เราก็ควรจะสังหรณ์ใจได้ว่าร่างกายกำลังฟ้องออกมาเรื่อยๆว่า ชั้นไม่ไหวแล้วนะ ช่วยชั้นด้วย อาหารการกินดีอยู่ดีของเราเกิดขึ้นในยามที่มีเวลา cooking หรือออกไปทานนอกบ้าน แต่ช่วงวันทำงานเป็นจัดซื้อใหญ่ของห้าง อาหารกลางวันเราที่ชอบเรียกเอาเองว่า Executive Lunch คืออาหารที่เร่งรีบยิ่งกว่า fastfood เป็นอะไรก็ได้ที่ grab & go เพราะเราไม่เคยมีเวลาออกไปเดินเล่นตลาดนัดฝั่งตรงข้ามห้าง หรือออกไปกินข้าวเรื่อยเฉื่อยนอกตึกกลับมาทำงานบ่ายสายๆหน่อย เรามักติดประชุมยาวเกินเวลาพักกลางวัน แล้วมีประชุมต่อมาจ่อรอตอนบ่ายแล้ว คิวแน่นตลอดแบบเสร็จจากห้องนี้ก็วิ่งต่อเข้าห้องนั้น มักเหลือเวลากินแค่ครึ่งชม. มีประชุมอย่างน้อยกับร้านค้า 4 เจ้าทุกวันไม่นับ internal meeting อีก ถึงในห้างจะมีอาหารมากมาย แต่น้อยครั้งมากที่เราจะไปนั่งทานในร้านแบบ meal เป็นจานๆ เราฝากชีวิตไว้กับชานมเย็น ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ปอเปี๊ยะสดเวียดนามแบบเป็นคำๆ หรือ sushi & sashimi ที่กินได้อย่างรวดเร็ว ภาพเรางับอาหารอย่างแทบจะไม่ได้เคี้ยวให้ละเอียดแล้วกลืนลงท้องไปโดยกรอกเครื่องดื่มหวานๆตามเข้าไปตบท้าย และป้า maid ชงกาแฟเย็นส่งประเคนในห้องประชุมให้เราทุกบ่าย 3 โมง เป็นภาพที่เลขาเราสงสารแกมห่วงใยเสมอว่าคุณพี่ทำไมอึดอย่างนี้ใช้ชีวิตทำงานมากไปรึเปล่านี่ เวลาเราป่วยทีไรก็จะป่วยหนักๆและนานเลยกว่าจะหาย จากที่เคยทู่ซี้มาทำงานได้ทั้งๆที่ป่วย เลยต้องกลายเป็นลาพักขาดงานจะทำให้หายเร็วกว่าจากการได้หยุดพักผ่อน การประชุมแบบ never-ending story ตลอดทุกวันทั้งปีทั้งชาติ ทำให้เรานั่งทั้งวัน กินอาหารทั้งหวานทั้งมันไม่หลากหลายและไม่มีคุณภาพ ชีวิตที่เคร่งเครียดจัดเนิ่นนานจนชินชาและการกินอาหารกลางวันที่ไม่ถูกสุขลักษณะผิดทุกทฤษฎี ทำให้เราเจ็บป่วยอ่อนล้าจากการไม่รู้จักดูแลตัวเอง เมื่อเราผ่านการตัดมดลูกไปแล้ว ก็พบว่าตัวเองมีผมหงอกเกิดขึ้นมากพร้อมๆกันอย่างผิดสังเกตุแบบข้ามคืนและยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหล่านี้เป็นสัญญาณที่ร่างกาย signal ถึงความชราภาพว่าวัยเราร่างกายถึงจุดที่เริ่มเสื่อมถอยลดประสิทธิภาพจริงๆแล้วสินี่ จึงเริ่มหันมาใส่ใจอาหารการกินอย่างจริงจัง ยิ่งอ่านมาก ก็ยิ่งพบว่ามีทฤษฎีต่างๆที่น่าสนใจมากมาย เป็นความรู้เพื่อให้แง่คิดถึงการกินอยู่แต่พอเพียงและไม่ประมาท เราเลือกเอามาปฏิบัติผสมกันอย่างละนิดละหน่อยตามแบบที่เราเห็นสมควร เมื่อถึงวัยหนึ่งเราก็ควรสนใจฟังความต้องการของร่างกายตัวเองแต่เนิ่นๆ อย่ารอให้เป็นมากจนรุมเร้าหลายโรคเอาเมื่อสายเกินแก้เอาแต่ผ่าตัดอวัยวะทิ้งไปเลยให้หายแบบเรา

          คำว่า "ว่าจะไป" ออกกำลังกาย กลายเป็นเรื่องธรรมดาของสาวๆออฟฟิศที่มีข้ออ้างเสมอ ทำให้วันนั้นไม่เคยมาถึง หรือนานๆทีทั้งๆที่อุตส่าห์หา fitness ใกล้ที่ทำงานเดินไปได้ 10 นาที ก็ยังหาข้ออ้างจากความขี้เกียจและเหนื่อยล้าบ่ายเบี่ยงได้เสมอ ในเมื่อใจอยากแต่ขี้เกียจมาก ทำให้เราแสวงหาทางลัดในการลดสัดส่วนแต่ไม่ได้สนใจว่าน้ำหนักจะตัองลงฮวบฮาบ โดยการไปซื้อ package การทำ treatment คู่กันของ Carboxy และ Tripolar ราว 2 ปีก่อน ราคาเอาเรื่องอยู่ และปรากฏผลเป็นที่น่าพอใจมากเมื่อทำควบคู่กัน Carboxy เป็นการฉีดเอาสาร Co2 เข้าใต้ผิวหนังเพื่อทำปฏิกิริยาเคมีกับไขมันรวมตัวกับสลายพันธะและถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ส่วน Tripolar เป็นการใช้คลื่นไฟฟ้าความถี่สูงนวดเบาๆบนผิวหนังจะรู้สึกร้อนแต่อุ่นสบาย ทำให้ไขมันใต้ผิวหนังแตกตัวและสลายไปตามระบบหมุนเวียนขับออกมาทางปัสสาวะเช่นกัน Tripolar ยังช่วยกระชับผิวหนังชั้น Dermis ให้เต่งตึงขึ้นได้ จึงช่วนให้ผิวกระชับขึ้นและช่วยแก้ปัญหา Cellulite อย่างเห็นผลรวดเร็ว เราฉีด Carboxy ที่หลังช่วงบนกับต้นแขน เจ็บทรมานมากทุกครั้งไม่อยากแนะนำให้ใครเจ็บตัวโง่ๆแบบเรา แต่เห็นผลดีรวดเร็วถ้าไปทำสม่ำเสมอสักอาทิตย์ละ 3 ครั้งนะใช้เวลาเพียงครู่เดียวไม่เกิน 5 นาทีต่อบริเวณ ถ้าทนเจ็บได้มากก็จะสามารถฉีด Co2 เข้าไปใต้ผิวหนังได้ปริมาณมากก็จะลดไขมันลงได้มาก ขึ้นอยู่กับความอึดของแต่ละคน ด้วยความใจสู้บวกกับเป็นนักกีฬาเก่าหมอบอกว่าเราทนความเจ็บปวดได้มากกว่าคนทั่วไปมากจนแกจำชื่อได้ตั้งแต่ครั้งแรกๆที่ทำ ส่วน Tripolar เราทำที่ช่วงเอว สะโพกและหน้าท้อง มีอุปกรณ์ไฟฟ้านวดคลึงเบาๆบนผิวให้รู้สึกร้อนๆสบายดีใช้เวลาที่ละ 20 นาที ทำทีนึงใช้เวลาเกือบ 2 ชม.กว่าจะเสร็จ ผิวหนังกระชับและแข็งแรงขึ้น ไขมันที่พอกก็ลดลงได้จริงๆด้วย สัดส่วนลดลงแต่น้ำหนักไม่ลดก็เอาแล้ว ใส่เสื้อผ้าได้สบายขึ้น

          การทำสงครามกับความอ้วนอย่างลองผิดลองถูกชนิดเปลี่ยนวิธีไปเรื่อยๆนานเกืนกว่าครึ่งชีวิตของตัวเรามาถึงจุดผกผันที่ต้องเลิกหมด เมื่อเราต้องย้ายครอบครัวไปอยู่ในต่างแดนแบบเร่งด่วน ทำให้คอร์สต่างๆยังคงค้างเติ่งอยู่ใช้ไม่หมด เมื่อย้ายไปอยู่ในคอนโดที่พื้นที่จำกัด แถมยังต้องนั่งรถไปรับส่งลูกที่โรงเรียนวันละเกือบ 5 ชม.ทุกวัน ทำให้เราเริ่มเป็นห่วงสุขภาพร่างกายตัวเองนักเพราะต้องนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานานๆตลอด เลยหันมาหาวิธีใส่ใจวิธีดูแลตัวเองแบบบ้านๆและทำได้ง่ายๆ เราเป็นคนไม่ชอบออกกำลังกายในยิมเลย ไม่ชอบการใช้อุปกรณ์อยู่กับที่ สู้ออกไปเล่นกีฬากลางแจ้งกันเลยดีกว่า แต่วัยนี้ใครจะมาเล่นด้วยอายุออกปูนนี้แล้ว เราพยายามไปว่ายน้ำแต่กลางวันก็มีแดดจ้ามากที่สระกลัวเป็นกระฝ้าที่มีทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนกลางคืนหลังสอนการบ้านลูกและดูแลเรื่องอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะไปว่ายน้ำตอนกลางคืนก็ปรากฏว่าน้ำเย็นเจี๊ยบจน chill จากลมแรงบนยอดตึก กลับขึ้นมาก็มักจะเป็นหวัดอีก เราก็กลับมามีข้ออ้างให้ไปว่ายน้ำได้ไม่บ่อยอีก สุดท้ายจึงต้องหันมาเริ่มจากสิ่งที่ง่ายที่สุดแต่ทำยากมากสำหรับเรา นั่นคือการจำกัดและเลือกสรรอาหารที่กินเข้าไปด้วยมุมมองที่แตกต่าง เน้นแบบเพื่อสุขภาพเป็นหลักแต่ยังคงความอร่อยซึ่งเป็นปัจจัยหลักแห่งความสุขที่เราคุ้นเคย

          เราเริ่มแสวงหาความรู้เรื่องอาหารและสุขภาพอย่างจริงจังมากขึ้น เพื่อศึกษาว่าเราควรและไม่ควรกินอะไรในชีวิตประจำวัน นอกเหนือจากงานอดิเรกในการสะสม cook book เล่มสวยๆจากร้านอาหารและปรมจารย์ Three-star Michelin และเอามาลองหัดทำเมนูพิเศษเล่นๆในวันว่าง ในยุคที่อาหารชีวจิตรุ่งเรือง เราอ่านหนังสือแนวทางการปรุงอาหารเพื่อสุขภาพ แต่อาหารชีวจิตมีการเน้นผักและถั่วงามากเพื่อเสริมโปรตีนทดแทนเนื้อสัตว์อันเป็นอาหารโปรดของเรา เคยทดลองแค่ 4-5 มื้อก็บอกลา มันออกแนวกินผักหญ้ามากเกินไปทำให้เราขาดความสุขจากอรรถรสของการรับประทานซึ่่งเราเชื่อว่าดีเพียงแต่ไม่เหมาะกับเรา เคยสนใจเรื่องอาหารล้างพิษและการสวนเพื่อ detox เอาของเสียในร่างกายออกทั้งแบบน้ำเปล่าและกาแฟ แต่ใจไม่กล้าพอจะลองอีกทั้งเพื่อนหมอและพี่ชายที่เป็นหมอก็สุดจะ discourage ด้วยการบอกว่าจู่ๆทำไมมนุษย์เราจึงคิดเร่งกระบวนการระบายของเสียตามธรรมชาติออกจากร่างกายโดยใส่อะไรเข้าไปทางที่มันออกมา อาหารเครื่องเทศแนวอายุรเวทที่ช่วยกระตุ้นให้ระบบไหลเวียนทั่วร่างทำงานเป็นปกติ สมุนไพรชงน้ำดื่มเพื่อลดและกระตุ้นการทำงานของอวัยวะต่างๆ การกินอาหารให้เหมาะสมตามกรุ๊ปเลือด อาหาร Raw Food ที่เสมือนบริโภคพลังชีวิตสดๆจากอาหารเข้าไปเพิ่มพลังในร่างกาย อาหาร low carb high fiber อาหารเพิ่มพลังหยินหยาง อาหารที่กินแล้วชะลอวัยคืนความเป็นหนุ่มสาวให้กับเซลล์ อาหาร macrobiotics ที่ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย อาหารฤทธิ์ร้อนและฤทธิ์เย็น ประโยชน์และโทษของชา กาแฟ และไวน์ โอโห!ยิ่งอ่านมากก็ยิ่งพบว่า เรื่องกินนี่มันเรื่องใหญ่ระดับโลกกว่าที่เราเคยคิดเอาไว้ ทฤษฎีมากมายแบบนานาจิตตังบ้างก็ตรงกันบ้างก็ขัดแย้งกัน เราแค่ต้องการจะหาแนวคิดที่เหมาะกับความต้องการดูแลสุขภาพแบบง่ายๆทำกินเองได้ที่บ้าน ให้สุขภาพแข็งแรงดี ทำให้แก่ช้าผิวพรรณสวยงาม และสุขกายสบายใจเท่านั้น สุดท้ายคงต้องผสมผสานหลายทฤษฎีเหมือนกับการปรุงอาหารหยิบโน่นนิดใส่นี่หน่อย ปรับแต่งเป็นสูตรอาหารตามที่เราเลือกจะเชื่อว่าดีและเหมาะกับตัวเรา

          เริ่มจากเครื่องปรุงพื้นฐานในครัว ที่เราใช้ประจำคือซีอิ๊วขาวเห็ดหอมแทนน้ำปลาที่เลิกกินในบ้านมาหลายสิบปีเนื่องจากไม่ชอบกลิ่นแรงและคาว ซีอิ๊วเป็น 1 ใน 5 อาหารที่มีวิจัยของอเมริกาพบว่าทำให้คนเราแก่ชราช้าลงเมื่อบริโภคเป็นประจำ รองจากเต้าหู้ กิมจิ และปลาทะเล ซีอิ๊วขาวเห็ดหอมที่เราใช้จะใส่ในผัดส่วนใหญ่ ในน้ำแกงบ้างแต่จะทำให้น้ำสีออกเข้มขึ้นด้วย ถ้าต้องการแบบน้ำใสสีสวยเราจะใช้เกลือเป็นหลัก เดี๋ยวนี้ใช้แต่เกลือ sea salt แทนการใช้เกลือป่่นสีขาวที่วางขายทั่วไป เนื่องจากอ่านเจอครั้งนึงพบว่า เกลือทะเลให้ความเค็มได้มากกว่าในปริมาณที่ใช้น้อยกว่า อีกทั้งมีค่า pH ใกล้เคียงกับโลหิตของมนุษย์จึงถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างพอเหมาะไม่รบกวนสมดุลย์กรดด่างของเซลล์มากเกินไปอย่างเกลือที่ผ่านกระบวนการขัดสีและเติมไอโอดีน อีกทั้งยังสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัยต่อสุขภาพเหมาะสำหรับคนป่วยโรคไตที่ต้องงดเกลือโดยสินเชิงแต่สามารถรับประทานเกลือทะเลใส่ในอาหารได้เล็กน้อยโดยไม่เกิดโทษต่อร่างกาย คนที่มีปัญหาความดันโลหิตสูงก็ต้องลดอาหารเค็มลง การบริโภคเกลือทะเลกลับไม่มีผลกระทบให้ความดันโลหิตสูงขึ้น

          น้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารในบ้านเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่ น้ำมันถั่วเหลืองที่เคยใช้นานปีถูกกวาดทิ้งตกกระป๋องไป เมื่อเห็นชาร์ต compare ไขมันดี HDL และไขมันตัวร้าย LDL ในน้ำมันพืชและสัตว์แต่ละประเภท ปัจจุบันถ้าปรุงอาหารผัดทอดที่สุกง่ายและเร็วเราจะใช้น้ำมันมะกอก แบบธรรมดาก็พอ ส่วน Extra virgin olive oil เหมาะสำหรับปรุงอาหารที่จะรับประทานสดและต้องการ induce flavor ออกมาเช่น สลัดและน้ำสลัดต่างๆ กระบวนการหีบเย็นหลายครั้งที่ใช้ในการผลิตน้ำมันมะกอกแบบนี้จะทำให้รักษารสชาดความหอมละมุนเอาไว้ได้มากที่สุด ถ้าต้องปรุงอาหารแบบผัดทอดเป็นเวลานาน เราจะใช้น้ำมัน Canola Oil ที่อุดมไปด้วยไขมันตัวดีอัดแน่นยิ่งกว่าน้ำมันรำข้าว น้ำมันพืชทั้ง 2 ชนิดนี้คือสุดยอดน้ำมันดีต่อสุขภาพ ชนิดที่หนังสือหลายเล่มยังบอกว่า คนเราควรเทมากินเล่นวันละ 2 ช้อนโต๊ะเพื่อสุขภาพ แต่เทรนด์ที่เห็นวันนี้คือบรรดา Hi-so สูงวัยหันมานิยมใช้น้ำมันมะพร้าวทาผิวและชะโลมผมทั้งประหยัดและดี ซึ่งก็ดีจริงนะ แต่ที่เอามากรอกใส่ปากวันละ 2 ช้อนโต๊ะเหมือนกันนี่มันไม่ใช่เลย น้ำมันมะพร้าวอุดมไปด้วย LDL ไขมันตัวร้ายมากกว่า 66% การกินสดๆเป็นประจำทุกวันโดยเชืื่อที่เขาเล่าว่า จะทำให้ยิ่งอ้วนเอาๆและ cholesterol สูงอย่างรวดเร็วเป็นการฆ่าตัวตายผ่อนส่งแบบวันละเล็กละน้อยเลยน่ากลัวนัก

          เครื่องปรุงหลักติดครัวอีกอย่างคือพริกป่น ทั้งพริกไทยขาวป่นสำหรับใส่กับอาหารไทยและจีน พริกไทยดำป่นไว้ใส่อาหารฝรั่งและจีน พริกเม็ด 3 สีไว้บด crush ลงบนอาหารฝรั่งและสลัด พริกชี้ฟ้าแดงป่นสำหรับใส่อาหารไทย พริกป่น Paprika สำหรับใส่ในอาหารฝรั่งบางชนิด พริกนานาชนิดถือเป็นเครื่องเทศเพิ่มความร้อนแรง เพิ่มพลังชี่เติมเชื้อไฟให้ร่างกายอบอุ่นและกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต มีวิตามีน C สูง และ Capsaicin ที่สร้างความเผ็ดร้อนมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคและกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย การใส่ปรุงพริกไทยป่นในอาหารอย่างเหมาะสมจะได้ประโยชน์และความเผ็ดร้อนหอมอร่อยแม้ใช้เพียงปริมาณเล็กน้อยมาก

          อีกอย่างที่มีติดบ้านประจำ คือกระดูกหมูเอาไว้ต้มน้ำแกงหอมอร่อย ทำหม้อใหญ่ทีเดียวใส่เกลือนิดหน่อยและรากผักชีทุบเล็กน้อย รอให้เย็นลงแล้วเทใส่ ice tray ใส่ช่องแข็ง freezer ไว้สำหรับทะยอยเอาออกมาใช้ได้ตามวิธีเก็บน้ำ stock ของฝรั่ง พอน้ำแข็งดีแล้วเราจะเอา zip lock ใหญ่สวมทับ ice tray อีกทีเพื่อไม่ให้น้ำซุประเหยแห้งไปตามความเย็นจัดของ freezer บ่อยครั้งที่เราผัดผักใช้น้ำแกงแทนน้ำมันถ้าทำผัดแบบไม่ใส่กระเทียม เอามาผสมซีอิ๊วขาวเวลาทำซอสนึ่งปลา และเอามาละลายใส่พวกหมูหรือไก่เวลารวนในกระทะแบบขลุกขลิกเช่น เวลาจะทำลาบหรือหลน เขาว่ากันว่าคนที่มี cholesterol สูงไม่ควรรับประทานน้ำซุปกระดูกหมูมาก แต่บ้านเรากินประจำ ทั้งแม่ทั้งลูกดื่มน้ำมากและชอบทานน้ำแกงและซุปข้นผักฝรั่งสารพัด น้ำซุปไก่จะเอาไว้ทำซุปฝรั่งประเภทฟักทอง มะเขือเทศ spinach broccoli ใส่ชีส cauliflower ข้าวโพด เห็ด carrot & orange ถ้าเป็นซุปเนื้อจะเอาไว้ทำ onion soup และกูลาช ซุปปลาเราไม่ค่อยทำยกเว้นจะทำ seafood soup แบบ italian กับน้ำแกงใสแนวหัวปลาหม้อไฟ

          ว่าจะเล่าเรื่อง target เรายังไม่ถอดใจยอมยกธงขาวเรื่องลดน้ำหนัก รบกันมาตั้งนานเรื่องอะไรจะยอมแพ้ง่ายๆ ที่จริงแล้วอยากให้มันเป็น by product ของการมีสุขภาพดีมากกว่า แต่สุขภาพดีนั้นวัดเป็น Improvement KPI ได้ยากเย็นนอกจากจะไปตรวจร่างกายแบบ full package เทียบก่อนและหลังให้เห็นค่าตัวเลขกันเลย Stephen Covey บอกไว้ว่าคนเราต้องชนะใน private victory เสียก่อนจึงจะสามารถเอาชนะเรื่องที่ยิ่งใหญ่กว่าแบบ public victory ได้ เราก็จะเริ่มจากเป้าหมายลดน้ำหนักอันท้าทายสำหรับวัย metabolism drop อย่างเราด้วยความหวังที่จะลดให้ได้ 5 kg. ต่อเดือน พอลุ้นได้ไม่มากไม่น้อยเกินไปเริ่มต้นปฏิบัติตัวใหม่ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เลย

No comments:

Post a Comment