หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกัน
คุณเป็นอีกคนรึเปล่าที่เคยผอมสวยหุ่นสะโอดสะอง แล้ววันนึงเมื่อถึงวัยนึงก็พบว่าชุดที่ตัวเองใส่อยู่เป็นประจำ ทั้งเสื้อและกางเกงเริ่มคับติ้ว แล้วกลายเป็นปลิ้น ทั้งๆที่พยายามลด ละ เลิก บรรดาอาหารแป้ง และอาหารขยะประเภท junk food ขนมนมเนยและเครื่องดื่มรสหวานทั้งหลาย ก็พอจะน้ำหนักลงบ้างนิดหน่อย ไม่นานก็กลับมาอึดอัดอีก จนต้องระเบิด size เสื้อผ้่าขึ้นอีก 1 เบอร์ แล้วก็อีก 1 เบอร์ แล้วก็...เฮ้ย อะไรเนี่ยะ มันเพิ่มไปเรื่อยๆ(ว่ะ)
มะ...ออกกำลังกายบ้างก็ได้ หลังจากมีข้ออ้างสารพัดว่าไม่ว่าง ไม่มีเวลา ทำงานเหนื่อยโฮกจนหมดแรงทุกค่ำ กว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึกแล้ว กินมื้อเย็นเอาตอนดึกๆกว่าจะถึงบ้าน นอนดูละครต่ออีกจนเกือบ 5 ทุ่มกว่าจะได้เข้านอน เช้ามาแทบไม่อยากจะลุกจากเตียง ไม่นับบรรดาแม่ๆที่ต้องจัดแจงเตรียมลูกไปโรงเรียนแต่เช้านะ สุดจะเหนื่อยตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาจนกระทั่งผลอยหลับไป ฝากความตื่นตัวเอาไว้กับกาแฟร้อนและเย็นมื้อเช้าและบ่าย ไม่นับเสาร์อาทิตย์ ต้องไปนั่งเฝ้าลูกรักเรียนพิเศษกันต่ออีก แทบไม่มีวันไหนไม่ได้ออกจากบ้าน งานของความเป็นแม่ไม่เคยมีวันหยุด เรื่องออกกำลังกายนี่ก็ว่าจะ...ว่าจะ...อยู่นั่นแล้ว อุตส่าห์เสียเงินไปสมัคร fitness ทั้งใกล้ไกลเพื่อบังคับตัวเองให้เสียดายตังค์จะได้ไปออกกำลังซะ แล้วเป็นไง ไปได้กี่หน นัดกันกับเพื่อนๆได้สักกีี่ครั้ง ลองกลับไปถามตัวคุณดู พอถึงเวลาต่อสมาชิก ยังจ่ายไปอีกอย่างมีความหวังว่า เออน่า งวดต่อไปเราคงทำได้ กลายเป็นเข้าอีหรอบเดิมอีก
เราก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตหนักหน่วงแบบนี้มาตั้งแต่สาวๆ ตั้งแต่เริ่มทำงานบริษัทเครื่องสำอางยีี่ห้อฝรั่งชั้นนำ ก็กลับบ้านเลิก 4-5 ทุ่มทุกวัน กลางวันคุยติดต่อกับห้าง บริษัทโฆษณา supplier พนักงานขาย ฯลฯ กลางคืนค่อยมีเวลาประชุมภายในกับทีม กลางคืนฝรั่งตื่นแล้วก็เอ้าส่ง mail กันเข้าไป ยุค 20 ปีที่แล้ว internet ยังไม่ได้รุ่งเรืองทำให้ชีวิตสะดวกสบายแบบทุกวันนึ้ smart phone ก็ยังไม่จุติ ดังนั้นการทำงานยังคงผูกอยู่กับ intranet ที่ต้องเข้าเครื่อง desktop ของที่ office ผ่านสาย LAN ถ้างานไม่เสร็จก็กลับมาทำต่อที่บ้่านไม่ได้ ก็อยู่กันค่อนคืนกันทั้งแผนกจนดึกดื่นจนกลายเป็นเรื่องปกติ เข้างาน 9 โมงเช้าออกมาหลัง 4 ทุ่มไปแล้วทุกวัน ใครชอบบ่นว่าตัวเองงานหนัก ขอบอกว่ามันหนักกันทุกคนล่ะคุณเอ๋ย อยู่ที่ว่าคุณรู้จักบริหารงานและเวลาที่มีอยู่อย่าง smart manager หรือเปล่า แต่หากสาเหตุเป็นเพราะ load งานของคุณมากเกินไป หรือทีมคนน้อยไม่พอกับเนื้องานที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ก็อย่าหวังซะให้ยากว่าจะมีวันได้กลับเร็ว...555
เมื่ออายุมากขึ้น หน้าที่การงานที่เจริญเติบโตมากขึ้น ภาระมากขึ้น ลูกก็โตขึ้นด้วย กลายเป็นภาวะความเครียดที่เติบโตขึ้นมากและแทรกซึมทีละน้อยแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เผลอแป๊บเดียว โรคร้ายก็เริ่มมารุมเร้า ผมเผ้าเริ่มหงอก อ๊ะ...แก่ตัวซะแล้วสิเรา คนสมัยนี้อายุ 30 กว่าๆก็เริ่มป่วยมีโรคประจำตัวกันแล้ว ทั้งโรคที่บรรพบุรุษเราแต่ก่อนเขาเป็นกันตอนอายุ 60 ปีไปแล้วอย่างเบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิตสูง ไปจนถึงโรคประหลาดทั้งหลายที่แต่ก่อนไม่มีใครรู้จัก ทั้งหาสาเหตุได้และไม่ได้ เมื่อเราต้องทุ่มเทให้กับงานมากกว่าในวัยหนุ่มสาว แต่ร่างกายมันถึงวัย 40 กว่าเริ่มเสื่อมถอยลง การจะคงประสิทธิภาพให้เต็มที่ทุกวันมันไม่ใช่เรื่องง่าย ฟังดูก็ฝืนธรรมชาติเต็มทีแล้ว
ดังนั้น เราคิดว่าวัยอายุสัก 40 ปีขึ้นไป ถ้าคุณโชคดีและเก่งกล้าสามารถในหน้าที่การงาน จะเป็นช่วงที่คุณกำลังก้าวเข้าสู่ middle-to-top management ซึ่งแน่นอนคุณต้องแบกภาระอันหนักหนาของบริษัทไว้บนบ่าอันหนักอึ้ง ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์เพื่อพิสูจน์ว่าคุณเจ๋งแค่ไหน ต้องทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกน้องอีก แล้วภาระทางบ้านล่ะ อาหารการกินลูกและสามี การบ้านลูก โรงเรียนพิเศษส่งไปติวเข้มแข่งขันสอบเข้าโรงเรียนในฝัน(ของพ่อแม่)กับลูกคนอื่นเขา ไหนจะงานบ้าน ปวดหัวเรื่องคนใช้ยุคนี้หายากอีก แล้วถ้าคุณยังมีภาระอื่นเช่น ดูแลพ่อแม่ด้วย ส่งเสียญาติเรียนหนังสือ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ โอย...ไม่อยากจะคิด ผู้หญิงยุคนี้แต่งงานแล้วทำงานหนักเคียงบ่าเคียงไหล่กับสามีช่วยกันหาเลี้ยงครอบครัว หรือบางคนกลายเป็นช้างเท้าหน้าไปด้วยซ้ำ ช้างเท้าหน้าแม่ลูกอ่อนยิ่งมีชีวิตที่ช่างน่าสงสารยิ่งนัก ถ้าใครตกอยู่ในสภาพนี้หรือมีเพื่อนรับภาระแบบนี้ ก็จะพอนึกออกว่าเราหมายความถึงอะไร
เราเป็นคนโชคดีประมาณนึง คือไม่เคยลังเลที่จะออกจากงาน ตลอดชีวิตการทำงาน 20 ปีแล้ว กล้าออกจากงานตลอดเมื่อพบว่ามันไม่ใช่ แล้วออกจากงานทีไร มีคนมาสอยไปทำงานที่อื่นต่อเสมอโดยแทบไม่ต้องออกแรงหางานมากมาย แถมเงินเดือนก็ก้าวกระโดดมากขึ้นเรื่อยๆด้วย เราเชื่อในเรื่องการคิดดี ทำดี ได้ดี และถ้าคุณเป็นคนที่เชื่อมั่นในความสามารถของตัวคุณเองว่าเก่งจริงและเป็นคนดี ชีวิตนี้คุณจะไม่มีวันตกต่ำ ไม่มีอะไรที่น่ากลัว และไม่มีอะไรที่คุณทำไม่ได้
ถ้าไม่นับเรื่องการงานและการบ้าน ปรากฏว่ามีอยู่เรื่องนึงที่เรายังทำไม่สำเร็จ คือเรื่องการลดน้ำหนักและดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีอย่างสม่ำเสมอและจริงจัง คนเก่งกาจรอบด้านมักมี "Q"s ที่แข็งแกร่งหลายอย่าง ทั้ง IQ (Intelligence Quotient), EQ (Emotional Quotient), PQ ( Perseverence Quotient), MQ (Moral Quotient) และ HQ (Health Quotient) ในบรรดา Q เหล่านี้เราก็ภูมิใจว่าเรามีหมดนะยกเว้นเจ้า Q ตัวสุดท้าย ที่พออายุ 40 กว่าก็เริ่มมีปัญหาสุขภาพถามหาจากการไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดีตลอดการทำงานหนักหลายสิบปี และคิดเอาเองว่าเรา "ยังไหว" อยู่เหมืิอนตอนสาวๆ ใจมันได้แต่กายมันบอกว่า รอก่อนนะนาย จนต้องไปผ่าตัดใหญ่ 2 หน คือผ่าตัดส่องกล้องเอานิ่วและถุงน้ำดีออกไป อันเนื่องมาจากน้ำดีตกตะกอนมากเป็นก้อนแข็งรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ขนาดราวๆเมล็ดมะขามรวม 20 กว่าเมล็ด หมอบอกว่าคนเป็นกันมากยุคนี้จากหลายสาเหตุ มักเกิดกับคนที่นอนหลับพักผ่อนไม่เป็นเวล่ำเวลา ตามด้วยการตัดมดลูกทิ้งไปเลยเมื่อ 2 ปีก่อนด้วยเนี้องอกกดทับมดลูก อันน่าจะเกิดจากกรรมพันธุ์หรือไม่ก็ความเครียดสูงปรี๊ดอย่างต่อเนื่องเนิ่นนานจนระบบ hormone ร่างกายมันแปรปรวน แล้วเรายังอยู่กับไขมันพอกที่ตับหรือ fatty liver ที่มาจากการชอบรับประทานอาหารไขมันสูงจนมันไปพอกพูนตรงนั้นทำให้มีความเสี่ยงเรื่องเนื้อร้ายหรือตับทำงานด้อยประสิทธิภาพในอนาคต ไม่นับน้ำตาลในเลือดสูงต่อเนื่องแบบ high normal ที่ยังอาศัยว่าปรับอาหารเป็นพักๆ ก็ยังพอควบคุมได้อยู่ไม่ต้องทานยาเบาหวานเป็นประจำ(แต่ก็จวนเจียนแล้ว) และที่ร้ายกาจที่สุดคือ อาการเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองส่วนบริเวณคอตีบ แบบเกือบจะตีบเป็นพักๆ อาการจะมา attack ไม่ทันตั้งตัวโดยเฉพาะเวลาโหมงานทำตัวเลข budget แบบไม่หลับไม่นอนติดต่อกันหลายคืน หรือช่วงที่พักผ่อนไม่เพียงพอ มาแบบจู่ๆก็วูบดิ่งแบบเหมือน roller coaster เวลาทิ้งดิ่งเวหา มองไม่เห็นอะไรจู่ๆก็ดำมืดไปหมด ใจสั่นด้วย เป็นอาการเหมือนกำลังจะหมดสติแต่ไม่หมดยังรับรู้ทุกอย่างรอบตัวได้อยู่แต่ขยับไม่ได้และมองไม่เห็น เป็นราวๆสัก 10-20 วินาทีแล้วก็จะหายไป แถมเราเป็นความดันต่ำอยู่แล้วเป็นทุนเดิมทั้งครอบครัวด้วย นี่เป็นเหตุที่ทำให้เราไม่รีรอ(รีบเลย)ที่จะออกจากงานกลางคันในช่วง middle management ออกมาใช้ชีวิตแม่บ้านสักระยะนึง เพราะเล็งเห็นตามที่สามีชอบค่อนขอดบ่อยๆว่า ทำงานหนักขนาดนี้ก็เพื่อหาค่ารักษาพยาบาลไปจ่ายเอาในวันข้างหน้า แล้วเราจะทนอึดทู่ซี๊ทำไปแบบนี้ได้สักกี่น้ำ คงต้องถึงเวลาย้อนมาให้เวลาฟื้นฟูสุขภาพกันอย่างจริงจังสักที
คราวหน้า จะมาเล่าต่อถึงการดูแลสุขภาพที่เราตะลุยอ่านหนังสือ ดูสารคดี และถามผู้รู้มากมาย สุดท้ายแล้วก็อยู่ที่ความตั้งใจจริงที่จะปฏิบัติตัวเพื่อฟื้นฟูสุขภาพให้กลับมาแข็งแรงและกลับมาเป็นสาวสวยผอมเหมือนแต่ก่อนให้ได้
Looking forward to your next blog!! ^__^
ReplyDeleteแก้ไข 2&3 กดเว้นบรรทัดใหม่เพิ่งจะไปอ่ะ
ReplyDelete