Friday, February 8, 2013

เรื่องกินเรื่องใหญ่


          เช้าวันนี้ เราตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกเหมือนเป็นวิญญาณใหม่เข้าสิงร่างเดิม รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าบ้าพลังแต่เช้า เพื่อนๆลองเทคนิคนี้ที่เราใช้ประจำ เวลาจะมีเหตุการณ์สำคัญอะไรที่จะต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวสูงกว่าวันปกติ เช่น มีประชุมประเภท Life & death ที่ต้องมีส่วนร่วมแบบเป็น key decision maker หรือวันที่จะต้อง present ขอ budget ให้ผ่าน หรือแม้กระทั่งวันจะไปเป็นเถ้าแก่สู่ขอสาวให้น้องหนุ่มที่ทำงาน เหล่านี้ล้วนเป็นวันที่ต้อง "ปลุกพระ" ขอพลังเสริมทั้งกายและจิตให้เข้มแข็งเกินร้อย หวังผลเลิศเป็นความสำเร็จและชัยชนะ ในช่วงชีวิตที่เป็นจัดซื้อของห้างดัง เราต้องพบเจอวันแบบนี้บ่อยครั้ง เนื่องจากวันๆเอาแต่ประชุมพูดมากทั้งวัน ฟังคนเอาสินค้ามาเสนอขาย ต่อรองราคา พื้นที่ ยอดขาย ไหนจะต้องเอาร้านค้านิสัยดีที่คบค้ากับมาหลายสิบปีแต่พอขายไม่ดีก็ต้องไล่แบรนด์เขาออกจากพื้นที่ขายอีก ต้องสามารถพูดดำให้เป็นขาวได้แบบชนิดที่คู่กรณีบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่นไม่มีขัดเคืองกินใจกัน วันๆสิ้นเปลืองพลังงานกับเรื่องตัดสินใจและเจรจาเป็นหลัก ก่อนถึงวันสำคัญ ช่วงล้มตัวลงนอนก่อนจะหลับไป เราจะซ้อมก่อนคร่าวๆโดย imagine ว่าพรุ่งนี้จะแต่งตัวอย่างไร จะเล่นบทไหน ถ้าเสียทีเขาแล้วนะทำอย่างไร สวดมนต์แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรด้วย บอกตัวเองว่าพรุ่งนี้ต้องพร้อม พอลืมตาตื่นมาตอนเช้า วันนั้นจะไม่เคยง่วงเหงาหาวนอนแม้จะทำตัวเลขทั้งคืนจนเกือบรุ่งสาง แต่จะสดชื่นเต็มที่อย่างวันนี้ ทำตามพลอทที่ตั้งใจเอาไว้ ได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็เตรียมพร้อมมาเต็มที่ แนวคิดเรื่อง "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" เป็นสิ่งที่เราใช้ขับเคลื่อนร่างกายให้ทำสิ่งต่างๆได้แม้ในวันที่ป่วยหงิกงอมแทบจะขอไป admit ที่โรงพยาบาล แต่กลับต้องไปประชุมสำคัญแต่เช้าไว้หาหมอเอาทีหลัง เป็นสิ่งที่เราเรียนรู้จากการเล่นกีฬาว่าศักยภาพของมนุษย์มี limit แต่ยังสามารถ go beyond ได้อีกมากกว่าที่คิดถ้าใช้ใจนำ ลองเอาไปทำกันดูแล้วจะพบว่าตัวเองสั่งตนเองได้ และจะเพิ่มประสิทธิภาพทั้งความคิดและความสามารถของตนเองได้อีกมาก
 
           ที่จริงเราเริ่มปรับอาหารการกินเสียใหม่มาได้ราวเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว คิดว่าเป็นการเตรียมตัวสำหรับ X(treme) Diet ที่แปลว่าอาหารสุดขั้ว แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า ผ่านไปสัปดาห์แรกก็รู้สึกสดชื่นสบายกายและใจมากขึ้น คาดว่าอาหารมีส่วนช่วยอย่างมากที่ทำให้เรารู้สึกดีและรู้สึกเบาลง น้ำหนักลดไป 1.5 kg.โดยไม่ตั้งใจ แต่ใส่เสื้อผ้าได้หลวมสบายขึ้นไม่อึดอัด เลยตั้งใจจะบอกเล่าถึงอาหารที่เรากินเป็นประจำสลับไปสลับมา อาหารพื้นๆที่ทำรับประทานเองได้อย่างง่ายๆที่บ้านนี่ล่ะ

          เราเป็น Carnivore ตัวจริง ชอบกินเนื้อสัตว์ทุกชนิดโดยเฉพาะเนื้อวัวนี่ของโปรดเลยชีวิตนี้ไม่มีวันเลิกคบกันได้ เราเคารพในทุกความเชื่อของผู้ละและลดการบริโภคเนื้อสัตว์เพื่อลดกรรมและสร้างกุศล แต่บ้านเราเดินสายกลางไม่เน้นเลือกกินและกินเพื่ออยู่ไม่ได้กินเนื้อทุกวันนี่นา ไม่กินเจเห่อตามเทศกาลแต่หากใจคิดทำกุศลงดเนื้อสัตว์เมื่อใดก็ลงมือกินเจทำเองเลยตามสะดวก การกินเจงดเนื้อสัตว์ต่อเนื่องเป็นช่วงนานติดต่อกันหลายสัปดาห์เพื่อสร้างกุศลเราก็เห็นว่าเป็นเรื่องดี แต่ถ้าทำแล้วคิดว่าได้พักร่างกายจากสารพิษจากเนื้อเราว่าไม่ใช่มั้ง เนื้อสัตว์ทุกประเภทล้วนเป็น protein ทั้งนั้นแต่มีชั้นดีชั้นเลวแตกต่างกันและย่อยยากง่ายก็สุดแท้แต่จะเลือก แล้วการรับประทานผักผลไม้มากๆย่อมดีต่อระบบขับถ่ายและได้รับวิตามินเพิ่ม แต่เป็นกากใยที่ย่อยยากทำให้ร่างกายต้องเหนื่อยในการย่อยเพิ่มขึ้นอีกมาก การละกิจกรรมหนึ่งปุบปับที่ทำมาเนิ่นนานสลับไปง่วนกับอีกกิจกรรมหนึ่งแทน ยังไม่ใช่แนวคิดที่ยั่งยืนแบบ sustainability health ในมุมมองของเรา ถ้าคิดดูดีๆ เราสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับอาหารเนื้อสัตว์ได้อย่างมีความสุขด้วยการลดปริมาณที่เคยใส่ในแต่ละจานลงให้เหมาะสมกับวัย หรือสลับเปลี่ยนชนิดมาปรุงอาหารจะได้ไม่เบื่อ และใน 1 สัปดาห์มีหลายมื้อที่เราไม่ได้รวมเนื้อสัตว์เข้าไว้ในเมนูอาหารเลยด้วยซ้ำ

         ลองย้อนไปดูว่า ใน 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา คุณทานอะไรไปบ้างในแต่ละมื้อ และเป็นปริมาณเท่าไหร่ เราเคยทำแบบนี้เพราะความอยากปรับปรุงอาหารที่ทานเข้าไป และอยากคิดคร่าวๆว่าซัด calorie เข้าไปเท่าไหร่ พอเห็น food list ของตัวเองแบบก่อนปรับแล้วต้องร้อง ไอ๊หยา อั๊วบ้ากินของพวกนี้อยู่ได้ยังไงตั้งนานแถมกินบ่อยด้วย เทคนิคการจดบันทึกของที่รับประทานเข้าไปทั้งหมดในแต่ละวันนี้ ช่วยให้เราเข้าใจแบบง่ายๆว่าเราทานอะไรเกินไปและควรเพิ่มอะไรที่ขาด เคยแนะนำให้น้องว่าที่เจ้าสาวผู้นั่งจุมปุ๊กทำงานจนดึกดื่นไม่มีเวลาออกกำลังกาย (ตามเคย) ยิ่งใกล้วันสำคัญยิ่งเครียดหันมากินยาลดน้ำหนักแบบจะหวังผลเร่งด่วน เราบอกว่าอย่ากินเลยแค่หันมาจดของที่กินเข้าไปแล้วลองปรับดูน่าจะน้ำหนักลงเองนะเลือกกินเน้นอาหาร low fat low carb กับผักผลไม้มากหน่อย ปรากฏว่า 3 สัปดาห์ผ่านไปน้องลดน้ำหนักลงได้ถึง 5 กิโลกรัมจนใส่แหวนแต่งงานหลวม และเอาเทคนิคนี้ไปเผยแพร่ให้อาม่าที่บ้านที่มีอาการข้อเข่าเสื่อมออกกำลังกายมากไม่ได้นั่งๆนอนๆอยู่แต่กับบ้านลองจดดูด้วย ได้ยินว่าอาม่าก็ร้อง ไอ๊หยา เหมือนกันแล้วรีบเปลี่ยนอาหารเสียใหม่ ทราบมาว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจลดน้ำหนักไปได้ 3 เดือน 10 kg. เดี๋ยวนี้เดินสายไปเจี๊ยะเต๊รำมวยจีนกับเพื่อนๆตามสวนลุมทุกเช้าอย่างมีความสุข

        วันนี้จะแนะนำอาหาร Raw Food ซึ่งในต่างประเทศเหล่าดารา Hollywood ให้ความสนใจกันครึกโครมเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว เนื่องจากอาหารสดและดิบทั้งเนื้อสัตว์และผักผลไม้นั้น ยังคงคุณค่าของวิตามินและ amino acid ไว้อย่างเต็มเปี่ยมก่อนการนำไปปรุงอาหารผ่านความร้อนที่ทำให้คุณค่าต้องสลายไปบางส่วนหรือทั้งหมด ความเชื่อก็คือการรับประทานอาหารที่ยังสดใหม่อยู่ยิ่งผักผลไม้ที่เพิ่งเด็ดออกจากต้นได้ยิ่งดี ทำให้เราสามารถดูดซับเอาพลังชีวิตจากสิ่งมีชีวิตอื่นที่เรากินเข้าไปถ่ายทอดเพิ่มพลังให้ตัวเราได้แบบ energy transfer คิดดูง่ายๆว่ามีแต่มนุษย์นี่แหละที่เป็นสัตว์ประเสริฐเลิศสติปัญญา specie เดียวที่ใช้ไฟมาประกอบอาหารเป็นหลัก สัตว์อื่นวิ่งไล่กวดล่าสังหารกันแค่พอมีพอกินแล้วเขมือบกันแบบสดๆ อิ่มแล้วก็พอ อยู่ได้นานๆจนกว่าจะหิวใหม่ หิวเมื่อไหร่ค่อยออกล่าหาอาหารอีกครั้ง ไม่ตัองกินอาหารทุกวัน แต่มนุษย์เรา go beyond กว่านั้นมากด้วยมันสมองอันชาญฉลาด กินจนอิ่มแล้วยังหาวิธีสารพัดในการถนอมอาหารทั้งต้ม หมัก ดอง frozen ปิ้ง อบแห้ง ฯลฯ แปรรูปอาหารเก็บเอาไว้กินมื้ออื่นๆต่อได้อีกยาวนาน ด้วยความยากลำบากของสภาวะดินฟ้าอากาศหรือฤดูการล่าสัตว์หรืออะไรก็ตาม การกินอาหารที่ผ่านกระบวนการ preservative ต่างๆนาๆนี้ เป็นที่รังเกียจอย่างยิ่งสำหรับ raw foodie ผู้พิสมัยการกินสดๆ เพราะเขาคิดว่าทำให้มนุษย์ไม่ต่างอะไรกับพวกสัตว์กินซากหรือ Scarvenger ที่เก็บของกึ่งเสียแปรสภาพเอามากินตอนที่มันหมดพลังชีวิตเป็นศูนย์ไปแล้ว ฟังดูแล้วทำให้ไส้กรอก แฮม กุ้งแห้ง กะปิ น้ำปลา น้ำตาล โยเกิร์ตรสผลไม้กระป๋อง และอื่นๆอีกมากมาย กลายเป็นซากพืชซากสัตว์ที่เก็บไว้รอวันถูกกินกันเลยเชียว.....บรื๋อว์

        ที่สุดของกลุ่มผู้นิยมอาหารประเภทนี้คือ Fruitarian ที่รับประทานแต่ผลไม้สุกงอมเต็มที่พร้อมจะสละต้นตกลงมาเองโดยไม่ได้เกิดจากการเด็ดออกของคนเก็บผลไม้ ซึ่งคงจะหาของกินได้ยากอยู่ในยุคปัจจุบันยกเว้นคุณจะเป็นเจ้าของผลสวนผลไม้หลายชนิดที่รอให้มันผลัดกันตกลูกลงพื้นไร้นกและแมลงเจาะกินได้ทุกวัน การจะกินอาหาร Raw Food ล้วนๆจึงยากเกินไปที่จะทำได้ทุกมื้อยกเว้นคุณจะทานแต่ผลไม้สดอย่างเดียว เพราะเครื่องปรุงรสชาดให้เค็มทั้งหลายส่วนใหญ่ล้วนมาจากการหมักดองทั้งสิ้นยกเว้นเกลือ แม้อาหารใกล้เคียง Raw Food สุดจะ classic ของบ้านเราที่กินได้กินดีเช่น ส้มตำไทยหรือตำผลไม้รวม อุดมคุณค่าสารอาหารสดๆจากมะละกอ แครอท มะเขือเทศสีดา ถั่วฝักยาว หรือผลไม้รวมหั่นชิ้นพอดีคำ ผสมรวมกันคลุกกับน้ำปรุงรสใส่พริกหั่นและมะนาว แต่ถ้าจะให้รสดีสมจริงยังไงก็ต้องเติมน้ำปลา กุ้งแห้งป่น และถั่วลิสงคั่วบุบพอแตก ซึ่งเป็นของนอกคอกไม่ใช่ raw food เป็นส่วนผสมที่จำเป็นต้องใส่เพิ่มเพื่อชูรสไม่เช่นนั้นก็ทำให้อร่อยได้ยาก ดังนั้น อาหารที่มีส่วนผสมที่สดและดิบมากหน่อย แต่ไม่ใช่ Raw Food ทั้งหมดเสียทีเดียว จึงน่าจะเป็นตัวเลือกที่ช่วยเพิ่มพลังชีวิตได้ดีพอ เช่น ปลาดิบญี่ปุ่น ทั้งในรูปแบบของ Sashimi ล้วนๆ หรือ Sushi หรือข้าวปั้นสูตรต่างๆ
 
                                                      Hamaji in Ponzu Sauce 
       
          กินปลาดิบจิ้มกับโชยุและวาซาบิบ่อยๆก็คงเบื่อ ลองเปลี่ยนเมนูไปมาดูให้หลากหลาย เราชอบกินปลา Hamaji แล่เองชิ้นหนาเกือบครึ่งซม.แบบทำกินเองให้จุใจไม่ได้บางเจี๊ยบเหมือนร้านอาหารขี้เหนียวหั่นให้ชิ้นยาวพอดีคำ วางลงบน Ponzu Sauce ที่มีรสออกเปรี้ยวแหลมและหอมกลิ่นมะนาว (หมักดองแน่นอนที่สุด) มีขายทั่วไปตาม supermarket ชั้นนำ โรยหัวไชเท้าหั่นฝอยแบบที่เสิร์ฟมากับซูชิทั่วไป และด้วยผักโต้วเหมี่ยวต้นใหญ่สดกรอบ เมนูนี้จำเอามาจาก Four Seasons Hotel ครั้งที่เขาทำ Buffet เสิร์ฟที่ lobby เป็นเทศกาลชั่วคราวแค่สัปดาห์เดียว รสอมเปรี้ยวของซอสและความสดกรอบของผักจะช่วยเบรคความมันของเนื้อปลาที่หนาจมเขี้ยวให้รสชาดที่กลมกล่อมกำลังดี
 
         คราวหน้าจะมาแนะนำเมนูปลาหลายแบบที่พอทำรับประทานเองง่ายๆที่บ้าน แล้วจะไม่อยากเสียสตางค์ไปกินตามร้านอีกเลยด้วยความคุ้มค่าในราคาที่จ่ายเท่ากัน
 
 

 

 

No comments:

Post a Comment